002 ธรรมปัจเวกขณ์ เราไม่สักแต่ว่ารู้ ไม่สักแต่ว่าเข้าใจ และก็มีแต่เพียง ได้สักแต่ว่า รู้เฉยๆ เราจะต้อง มีอำนาจทางจิต เมื่อรู้แล้วว่านี่ดี รู้แล้วนี่ว่าชั่ว นี่รู้แล้วว่า มีกิเลส นี้เป็น อารมณ์ของ ผีเข้าแล้ว แม้หยาบ แม้กลาง แม้ละเอียด เราก็จะต้อง มีกรรมวิธี และก็เอาจริงๆ อย่างน้อยก็อดทน ข่มฝืน เป็นภาษาง่ายๆ และกรรมวิธี ในการอดทน ข่มฝืน เราก็รู้ด้วย สัญชาตญาณ กันอยู่บ้าง ว่าต้องทำ อย่างแท้จริง ให้มันตายดูซิ ว่าเราเอง พ่ายแพ้กิเลสนี่ มันจะตาย ชักดิ้นชักงอ ให้มันลองดู ถ้าเราไม่มีความอดทน ข่มฝืนแล้ว เราก็พ่ายแพ้ ต่อกิเลส ทุกทีไป เราก็เจ๊งไป ทุกทีๆ และเราก็พ่ายแพ้ ไปทุกทีๆ นานับชาติ ก็จะเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่เป็นอย่างนั้น อย่างเดียว ที่เราพ่ายแพ้ ทุกทีไปนั้น ไม่ใช่ว่า เราได้กำไร เราเสีย เรามีการสั่งสม ให้อาหารแก่กิเลส มันทุกทีไป กิเลสมันก็มีมานะเสริม เช่นว่า เราเอง เราอยาก กินขนม เราต่อต้าน เมื่อเราต่อต้าน ต่อต้านแล้ว กิเลส มันก็จะมีแรง เสริมขึ้นมาต่อต้าน สู้อีกเหมือนกัน เมื่อสู้แล้ว ปรากฏว่า เราแพ้ กิเลสชนะ เมื่อกิเลสชนะ กิเลสชนะนี้ กิเลสมีมานะ ไม่ใช่กิเลสไม่มีมานะ เพราะฉะนั้น เราแพ้ในการสู้กิเลสนี้ อย่านึกว่า เราแพ้แล้วนี่ เราดีนะ อย่างไง เราก็ได้สู้แล้ว เราสู้มันไม่ได้ นั้นแหละ สู้มันไม่ได้ เราแพ้มันนั้นแหละ มันชนะเรานั้น มันมีมานะด้วย มันย่ามใจกว่าเก่าด้วย เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นสภาพซับซ้อน เป็นสภาพ ที่ลึกซึ้ง ที่เราจะต้อง เข้าใจให้ดีว่า เราพยายาม ต้องฆ่า ต้องสู้ อดทน ข่มฝืน ด้วยอำนาจ เจโตสมถะ หรืออำนาจ อดทนจริงๆ ฝืนข่มจริงๆ ต่อสู้ อดกลั้น ไม่ยอม โดย สมถธุระอย่างเดียว เราก็ต้องทำ อย่างแข็งขัน นอกกว่านั้น เราก็มี วิปัสสนาธุระ มีธัมมวิจัย ที่แท้จริงๆ เห็นให้ชัดแจ้ง ด้วยเหตุ ด้วยผล นำเหตุผลมาร่วม ในการที่จะ นำมาต่อสู้ เพื่อลด ละ จาง คลาย เพื่อให้เรา เป็นผู้ชนะ ในกิเลส ทุกบทบาท ทุกขั้นตอน ทุกขณะ ที่เราจะกระทำอยู่ มีสภาพ ทั้งธุระสองธุระ ผสมผสานกันอยู่ มันไม่ใช่ว่า มันแยกกัน แต่ความหมาย ทำให้แยก เห็นเด่นชัดได้ แต่กรรมกิริยา หรือว่า เวลาประพฤติ ปฏิบัตินั้น เราใช้ธุระทั้งสอง ทั้งสมถธุระ และทั้งวิปัสสนาธุระ กระทำจริงๆ ยิ่งเห็นเหตุ เห็นผล เห็นอะไรต่ออะไร มากยิ่งขึ้น เสริมหนุนเข้าไปได้ มีจิตแววไว มีจิตปราดเปรียว ชาญฉลาด เอาเหตุผลเข้าร่วม แล้วก็มีเหตุผล ที่จริง เข้าไปอีก ที่ซับซ้อน ลึกซึ้ง เข้าไปอีก ไวเร็วช่วยอีก อด ทน ข่ม ฝืน ก็เก่งอยู่แล้ว เหตุผล ก็มีมากหลาย มีทุกที ทั้งในขณะที่เห็น โทษภัย ของสิ่งนั้น ทั้งในปัญญา หรือในความรู้ ที่เราเห็นว่า เมื่อจางคลาย บางเบานั้น เป็นสัจจะ เป็นความจริงว่า เราดี เราเจริญ เราสบาย เราได้อะไร ต่อมิอะไร ที่เป็นส่วนมันดี แก่ตนมากมาย ในการแนะ ก็แนะได้เพียงเท่านี้ แต่ในรายละเอียด ของการเห็นด้วยปัญญา อันยิ่งนั้น เรามีมากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ปัญญาเห็นโทษ ไม่ว่าจะเป็น ปัญญาเห็นคุณ ในเมื่อเรา ละล้างเลิกได้ จางคลายได้ ดับสนิทได้ จะต้องเห็นให้มาก ในรายละเอียดของมัน ให้มากเชิงจริงๆ ในด้าน วิปัสสนาธุระ เราก็จะต้อง มีญาณทัสสนวิเศษ ในเรื่องเหล่านี้ อย่างมากเพียงพอ ในด้านมโนมยิทธิ หรือในด้านเจโต ที่เราจะสามารถ ทำให้มันสงบระงับ นิ่งแน่ ด้วยอำนาจทางจิต ที่มีอำนาจแรง อำนาจไม่ให้มันมี อาลัยอาวรณ์ ไม่ให้มีรสมีเรื่อง ให้มันตายดับได้ เราก็ต้องใช้จริงๆ จึงอยากจะขอย้ำพวกเราว่า ในเรื่องของ เจโต ในเรื่องของ มโนมยิทธิ ในเรื่องของ อำนาจต่อสู้ อดกลั้น ของพวกเรานี้ ยังมีน้อยไป ปัญญาพวกเรา จะมี ค่อนๆจะเหนืออยู่ มากอยู่ แต่อำนาจทางเจโต ที่จะต่อสู้ อดกลั้น ให้มันตายลองดู มันไม่กล้าตาย แล้วมัน ก็ไม่ได้ตาย มันไม่กล้าตาย มันก็ไม่ได้ตาย แต่มันก็จะตาย เน่าเหม็น ไม่ได้เรื่อง ชาติแล้ว ชาติเล่า ซ้ำซ้อนไปอีก กิเลสไม่ได้ตายแท้ แต่ตัวเรา นี้แหละ ก็ชาติแล้ว ชาติเล่า ตายเน่าตายเหม็น นานับชาติ เป็นปัญจารามตา ช้านานไปเปล่าๆ ก็ขอให้พยายาม ลองใช้การอดกลั้น ใช้การทนฝืน ใช้การเด็ดขาด ให้มันตายชัก ลองดูซิว่า เราไม่สิ่งนี้ ทั้งๆที่สิ่งอื่น มีทดแทน หลายๆ อย่าง แต่เราก็สู้ มันไม่ได้ ด้วยความติด ความยึด ความหลง เป็นทาส เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ดิ้นรน เพื่อจะสลัดแอก อย่างแข็งแรง เราก็จะตก เป็นทาส อยู่อย่างนั้น ไปอีกนานับชาติ ก็ขอเน้นจุดนี้ ก็ขอให้พวกเรา ได้ใช้พลัง ของเจโตสมถะ หรือพลังของจิต อันเข้มแข็ง อย่างจริงๆ จังๆ พยายามเพียร อุตสาหะ วิริยะ อดทน ฝึกปรือ ในแง่เชิง ที่มันจะทำให้เรา เกิดแข็งขัน อดทน ต่อสู้ ใช้ฤทธิ ใช้แรงบ้าง ผู้ที่เด่นไปในทางสมอง หรือ เด่นไป ในทางปัญญา มากแล้ว ก็ต้องรู้ความขาด ของเรา ว่าขาดส่วนนี้ อย่าขี้เกียจ ถ้าขี้เกียจ ในการสิ่งขาด ให้แก่ตนเองนั้น ไม่มีผลสำเร็จ ถ้าเรารู้ว่า เรามีปัญญามาก เราก็ต้องเพิ่มเจโต ถ้าเรารู้ว่า เจโตของเรามาก เราก็เพิ่มปัญญา เราต้องเพิ่ม สองส่วน ให้สมดุลกัน หรือ ให้มามีฤทธิ์ มีแรง สนับสนุนกัน ให้มันได้ ส่งเสริมกัน ได้เพียงพอ ไม่เช่นนั้น เลี่ยงฮุ้น อยู่ในส่วนหนึ่ง ที่ตนเอง เอียงข้าง หรือ สุดโต่ง อยู่ในทิศทางนั้น ทางนั้น ไม่ว่าจะเป็น ทางหนึ่งทางใด เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเรานี้ ตรวจตนเอง ที่พูดนี้ พูดโดยประมาณ ส่วนใหญ่ มันเป็นอย่างนั้น คือกำลัง อดทน เจโตที่แรงๆ มโนมยิทธิที่แข็งๆ กล้าๆของเรา ยังน้อยอยู่ จริงละ เรามีไม่ใช่น้อย ที่ได้มา ขั้นหนึ่งแล้ว แต่ขั้นต่อไปอีก เราต้องอาศัย ที่แรงยิ่งกว่านี้อีก เพราะฉะนั้น ก็ขอให้พวกเรา ได้ตั้งอกตั้งใจ ลองพยายาม อดทน ข่มฝืน ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา เป็นการอดทน เป็นการใช้ ตบะ เป็นการอุตสาหะ เพียร พากเพียร สู้ฝืนให้อย่างจริงจัง และเราจะเห็นผล ของสิ่งที่ เราได้กำชับ กำชานี้ สำหรับคนที่ยังมี ความเป็นจริงว่า เราเองเราอ่อน ในทางนี้ และเห็นผลจริงๆ ขอให้พากเพียรขึ้น ที่กำชับกำชา ที่เน้นนี้ ก็เพราะว่า เห็นบางส่วน ที่ขาดอยู่ อย่างแท้จริง ฉะนั้น ผู้ใดพอรู้อยู่ทุกอย่าง แต่ยังทำไม่ได้ ก็เพราะ เราไม่เอาจริง เราไม่เด็ดขาดจริง เราจึงต้อง ตกหล่น และร่วงหล่นอยู่ ฉะนั้น ก็ขอให้มันทำ อย่างให้มันใช้ กรรมฐาน "ตายเป็นตาย" ให้ได้ และเราก็จะได้มี อมตธรรม สาธุ.
|